ภาวะคลอดยากในสุนัข - ผ่าคลอด

44 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ภาวะคลอดยากในสุนัข - ผ่าคลอด

ภาวะคลอดยากในสุนัข (dystocia) เกิดจากการที่แม่สุนัขไม่สามารถคลอดลูกสุนัขออกมาจากช่องเชิงกรานได้ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตได้ทั้งแม่และลูกสุนัข เจ้าของอาจสังเกตอาการที่อาจเข้าข่ายภาวะคลอดยากในเบื้องต้น และให้รีบติดต่อสัตวแพทย์ทันที


 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กิดภาวะคลอดยาก

อัตราการเกิดภาวะคลอดยากในสุนัขนั้นอยู่ที่ 2-5% โดยขึ้นกับขนาด (<10 kg หรือ >40 kg), อายุ (3-6 ปี) และสายพันธุ์ (พันธุ์หน้าสั้น เช่น French bulldogs, Boston terriers, Pugs, Chihuahuas) โดยปัจจัยที่มีผลต่อภาวะคลอดยากสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่

1. ปัจจัยจากแม่สุนัข (Maternal factors): สามารถพบได้ประมาณ 75% ได้แก่

- ภาวะมดลูกเฉื่อย (uterine inertia)

- การฉีกขาดของมดลูก (uterine torsion)

- ความผิดปกติของช่องคลอด (vaginal abnormalities)

- ความผิดปกติของเชิงกราน (pelvic abnormalities)

- ภาวะป่วยหรือติดเชื้อ (systemic illness and infection)

- ภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition)

- ปัญหาด้านพันธุกรรม (terrier breeds)

- สภาวะอารมณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดหรือหวาดกลัว (fear and stress)



2.ปัจจัยจากลูกสุนัข (Fetal factors): สามารถพบได้ประมาณ 25% ได้แก่

- ปัญหาลูกในท้องอยู่ผิดท่า (malpresentation)

- ความผิดปกติของลูกสัตว์ในครรภ์ (fetal malformation) เช่น ลักษณะตัวอ่อนบวมน้ำ (anasarcous fetuses)

- ขนาดของกะโหลกลูกสัตว์ต่อความกว้างของเชิงกรานของแม่ (cephalopelvic disproportion)

- ขนาดของตัวอ่อน (fetal oversize)

- จำนวนลูกทั้งหมดต่อครอก (litter size)

- การตายของตัวอ่อน (fetal death)

 



การวินิจฉัยภาวะคลอดยาก

เจ้าของสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ ดังนี้

1. แม่สุนัขมีอุณหภูมิ <100 oF (37.8 oC) แต่ยังไม่มีการเบ่งคลอดภายใน 24 ชั่วโมง

2. แม่สุนัขมีระยะเวลาตั้งท้องมากกว่า 70-72 วันนับจากวันที่ผสมพันธุ์ครั้งแรก หรือระยะเวลามากกว่า 60 วันนับจากวันแรกที่เข้าสู่ระยะหลังการเป็นสัด

3. เริ่มมีอาการเบ่งคลอดแรงแต่ไม่มีลูกกมาภายใน 1 ชั่วโมง

4. ช่วงระหว่างลูกสุนัขตัวแรกและตัวต่อไปคลอดออกมาห่างกันมากกว่า 2 ชั่วโมง

5. พบของเหลวสีเขียว (uteroverdin) ในสุนัข หรือสีน้ำตาล - แดงในแมวออกมาจากช่องคลอด แต่ไม่มีลูกออกมาภายใน 30 นาที

6. มีถุงน้ำคร่ำหรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของลูกติดอยู่บริเวณช่องเชิงกราน

7. ช่วงระหว่างถุงน้ำคร่ำ (chorioallantois) แตกและตอนที่ลูกสุนัขเริ่มคลอดออกมา ห่างกันเป็นเวลามากกว่า 4 ชม

8. เลือดไหลออกมาจากช่องคลอดปริมาณมาก

9. ปวดท้อง มีไข้ อาเจียน หมดสติขณะคลอด

10. จำนวนลูกน้อยหรือมีเพียง 1 ตัวจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดยาก

ถ้าเจ้าของพบอาการดังกล่าวเพียงข้อใดข้อหนึ่งให้รีบพาสัตว์เลี้ยงของท่านมาพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป ดังนี้

 

1. การถ่ายภาพรังสี (x-ray): เพื่อประเมินจำนวนลูก (litter size), ท่าและตำแหน่งของลูก (fetal positioning) และวัดขนาดกะโหลกของลูกเทียบกับความกว้างของช่องเชิงกราน

2. การทำอัลตราซาวนด์ (ultrasound): เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจ (fetal heart rate) ซึ่งมีค่าปกติ >220 ครั้ง/นาที หากพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจ <180 ครั้ง/นาที จะพิจารณาผ่าคลอดโดยทันทีเพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตของแม่และลูกสุนัข

 

การจัดการภาวะคลอดยาก

แบ่งเป็น 2 วิธี

1. การรักษาทางยา (medical treatment): วิธีนี้สามารถทำได้เมื่อสภาพร่างกายของแม่และลูกสุนัขอยู่ในสภาวะคงที่ ตำแหน่งของตัวอ่อนเหมาะสม ไม่พบการอุดตันของลูกสัตว์ที่ช่องเชิงกรานหรือเชิงกรานแคบ อัตราการเต้นของหัวใจลูกสุนัขมากกว่า 190 ครั้ง/นาที และจำนวนลูกที่ค้างอยู่ไม่เกิน 4 ตัว ถึงจะพิจารณาให้ยากระตุ้นการบีบตัวของมดลูก (oxytocin)  โดยในกรณีนี้มีความเสี่ยงที่อาจเกิดมดลูกปริแตกได้หากมีการอุดตันของลูก จึงต้องใช้ความระมัดระวังมาก

2. การผ่าคลอด (cesarean section): พิจารณาจากการที่แม่สุนัขไม่สามารถคลอดผ่านช่องเชิงกรานได้ หรือหลังจากการรักษาทางยาไม่ได้ผล โดยมีขั้นตอนในการเตรียมตัวสัตว์ก่อนวางยาสลบเพื่อผ่าคลอด ได้แก่ การตรวจร่างกายเบื้องต้น, การตรวจค่าเลือด (ค่าความสมบูรณ์เม็ดเลือด, ค่าทางเคมีในเลือด), การถ่ายภาพรังสีและการอัลตร้าซาวน์ช่องท้อง

 

                          


 

เรียบเรียงโดย

สพ.ญ. แพรวโพยม จันทร์แสง (หมอกิ๊ฟ)
สัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์สวนสยาม

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้