9275 จำนวนผู้เข้าชม |
การผ่าตัดทำหมันสัตว์เพศเมีย (Spay) เพื่อนำมดลูกและรังไข่ออก ปัจจุบันมีทางเลือกนอกเหนือจากการผ่าตัดเปิดผ่าหน้าท้องแบบปกติ เช่นการ ผ่าตัดแบบส่องกล้อง แต่การผ่าตัดที่นิยมที่สุดก็ยังคงเป็นการผ่าตัดเปิดผ่าหน้าท้อง ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะทำภายใต้การวางยาสลบ โดยทั่วไปสัตวแพทย์จะแนะนำให้ทำที่อายุประมาณ 6 เดือน แต่สามารถทำที่อายุเท่าไรก็ได้ โดยมีข้อบ่งชี้แตกต่างกันไป การผ่าตัดบางครั้งเป็นการรักษาร่วมกับโรคบางอย่าง เช่น มดลูกอักเสบ (Pyometra) เนื้องอกของมดลูกและรังไข่
เหตุผลที่ควรทำหมัน ได้แก่
- ลดโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านม (ในกรณีทำก่อนเป็นสัดครั้งแรก)
- ป้องกันการเกิดโรคมดลูกอักเสบ (รวมถึงเป็นวิธีการรักษาในกรณีที่เป็นแล้วอีกด้วย)
- ป้องกันพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ และเลือดออกจากช่องคลอดขณะเป็นสัด
- ป้องกันการตั้งครรภ์ และปัญหาคลอดยาก
- ควบคุมประชากร
ปรกติการทำหมันในสัตว์ตัวเมียจะทำในสัตว์สุขภาพดี แต่หากมีปัญหา เช่น มดลูกอักเสบ คลอดยาก หรือเนื้องอกที่มดลูก อาจต้องพิจารณาในการผ่าตัดทำหมันเช่นกัน
การตรวจร่างกายก่อนผ่าตัดทำหมัน
- ตรวจร่างกายพื้นฐานโดยสัตวแพทย์
- ตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
- ตรวจค่าเคมีในเลือด
- ตรวจปัสสาวะ
- ถ่ายภาพรังสีช่องท้อง (X-ray) และ/ หรือ ultrasound ช่องท้อง (ในกรณีคลอดยาก หรือมดลูกอักเสบ)
สัตวแพทย์สามารถเลือกใช้การตรวจให้เหมาะสมกับสัตว์แต่ละตัว โดยอาจไม่จำเป็นต้องตรวจทั้งหมด
การผ่าตัดทำหมัน
โดยทั่วไปมีอยู่ 2 วิธี คือ
1. การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic surgery) คือ กรีดรูเล็กๆ ขนาดประมาณ 2 cm จำนวน 2-3 รู เพื่อสอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปในช่องท้อง และทำผ่าตัด โดยจะทำการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในช่องท้องเพื่อให้ช่องท้องขยายตัวและสะดวกในการทำงาน (สูบออกเมื่อผ่าตัดเสร็จ) และใช้กล้องสอดเข้าไปตามรูที่เจาะไว้เพื่อฉายภาพในช่องท้อง จากนั้นใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในรูเล็กๆ อีกสองรูในการจับ ตัด ผูก เย็บ ระบบสืบพันธุ์เหมือนการเปิดช่องท้องผ่าตัด เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด จึงมีการเย็บปิดรูที่ทำการสอดเครื่องมือและกล้องเข้าไป แต่วิธีนี้ยังไม่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายนัก
2. การผ่าตัดแบบเปิดช่องท้องเป็นวิธีที่นิยมทำมากที่สุด โดยทั่วไปจะเปิดผ่านบริเวณกลางหน้าท้อง แต่สามารถเปิดผ่าจากบริเวณด้านข้างได้เช่นกัน ขนาดของแผลจะขึ้นกับขนาดของตัวสัตว์ และระบบสืบพันธุ์ การผ่าตัดทำโดยดึงมดลูกและรังไข่ขึ้นมาจากช่องท้อง ทำการผูกรอบรังไข่ มดลูก และเส้นเลือดที่มาเลี้ยง จากนั้นจึงตัด รังไข่ และมดลูกออก จึงทำการเย็บปิดแผล นอกจากนี้ยังมีทางเลือกการผ่าตัดทำหมัน เช่น การตัดเฉพาะรังไข่ (Ovariectomy)
การดูแลหลังผ่าตัด
- การกักบริเวณ ไม่ให้วิ่ง กระโดด หรือ เล่นอย่างหนักหน่วง เป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
- ป้อนยาที่สัตวแพทย์จ่ายให้
- ใส่อุปกรณ์ป้องกันการเลียแผลไว้เสมอ เช่น เสื้อกันเลีย ปลอกคอกันเลีย (Elizabeth collar)
การรักษาเพิ่มเติม อาจจำเป็นในบางกรณีหลังการผ่าตัดทำหมัน เพื่อรักษาภาวะมดลูกอักเสบ หรือโรคอื่นๆ
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะแทรกซ้อนจากการทำหมันสัตว์เพศเมียสามารถพบได้ โดยพบในสุนัข 7-19% และ 12% ในแมว โดยมักสอดคล้องกับระยะเวลาที่ใช้ในการผ่าตัด ได้แก่
- รอยช้ำรอบแผลผ่าตัด
- แผลบวม (8.5%)
- แผลติดเชื้อ (5.6%)
- เลือดซึมออกจากแผลหลังผ่าตัด (2.8%)
- แผลติดเชื้อ (5.6%)
- เลือดซึมออกจากแผลหลังผ่าตัด (2.8%)
- การเอารังไข่ออกไม่หมด (ovarian remnant syndrome)
- ภาวะฉี่กระปริดกระปรอย (4.5%)
- การเกิดการอักเสบของปลายมดลูกที่เหลือจากการทำหมัน (stump pyometra)
ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่พบระหว่างและหลังผ่าตัดได้แก่ ภาวะเลือดออกภายใน ซึ่งอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในสุนัขที่มีน้ำหนักมากกว่า 25 กิโลกรัมหรือสุนักที่อกลึก สำหรับในแมวมีความเสี่ยงเกิดภาวะนี้ขณะผ่าอยู่ที่ 0.2% และหลังผ่าตัด 0.05% นอกจากนี้พบว่าในสุนัขพันธุ์ Greyhound มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกภายในหลังผ่าตัดถึง 26% (จากกลุ่มศึกษา 88 ตัว)
อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนอื่นที่รุนแรง เช่น ระบบปัสสาวะอุดตัน เกิดขึ้นได้น้อย แต่สามารถทำให้สัตว์เสียชีวิตได้ รวมถึงภาวะฉี่กระปริดกระปรอยซึ่งอาจต้องทำการรักษาต่อเนื่อง การผ่าตัดทำหมันจะทำได้ยากขึ้นหากสัตว์มีขนาดใหญ่ หรือมีภาวะอ้วน และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น
การพยาการณ์โรคสำหรับการทำหมันเพศเมียทั่วไป ถือว่าดีมาก แต่การผ่าตัดมดลูกอักเสบ และผ่าคลอด อาจมีความแตกต่างไป
เรียบเรียงโดย
น.สพ. พิทวัส ตันสกุล